4 เทรนด์ใหม่ที่องค์กรต้องเข้าใจ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจในปีหน้า
Trend 1 Boundaryless Competitive Landscape
การแข่งขันแบบไร้ขอบเขต
Background:
การแข่งขันจะไม่ถูกจำกัดแค่กับคู่แข่งในธุรกิจเดียวกันอีกต่อไป การผสมผสานของเทคโนโลยี ดาต้า และเงินทุน สามารถทำให้บริษัทต่างๆ เข้าไปในธุรกิจอื่นได้ง่ายขึ้น จากปัจจัยนี้ทำให้ธุรกิจจากอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันเข้ามาตอบสนองความต้องการเดิม ในขณะที่เวลาและกำลังซื้อของผู้บริโภคก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามจำนวนคู่แข่ง
คู่แข่งมีสองรูปแบบ
ดังนั้นแล้วธุรกิจไม่ได้แค่สู้กับ Share of Wallet หรือรายได้ที่ผู้บริโภคสามารถจับจ่ายใช้สอย แต่รวมถึงความสนใจและการแก้ปัญหาใหม่ๆ ของผู้บริโภคด้วย ผู้ที่สามารถดึงความสนใจของผู้บริโภคได้มากกว่า จะสามารถชนะในการแข่งขันในตลาดจริง
สิ่งที่ธุรกิจควรทำและกรณีศึกษา
การจะชนะในศึกนี้ต้องนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุด แบรนด์ต้องเป็นตัวเลือกที่ลูกค้าปฏิเสธไม่ได้ และมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของลูกค้า
วิธีการที่ธุรกิจสามารถชนะในศึกไร้ขอบเขตได้ด้วยวิธีการดังนี้
ด้วยการป้องกันภัยคุกคามจากอุตสาหกรรมอื่น
กรณีศึกษา:
Tips: ดังนั้นอย่ารอให้ใครมาปฏิวัติวงการของเรา เราต้องรีบเปลี่ยนแปลงเพื่อป้องกันตลาดเอง
ด้วยการมองให้กว้างจากกลุ่มลูกค้าปัจจุบันเพื่อหาโอกาสใหม่
กรณีศึกษา:
Tips: วิธีที่เวิร์กที่สุดในการหาไอเดียใหม่ ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่แค่ในอุตสาหกรรมตัวเอง เพราะการหาไอเดียสดใหม่ ไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ในกรอบธุรกิจของเรา!
กรณีศึกษา: ครั้งหนึ่งที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์อยากสร้างแบรนด์เพื่อดึงลูกค้าระดับสุดยอดวีไอพี แทนที่จะดูว่าแบรนด์อสังหาริมทรัพย์เจ้าอื่นทำอย่างไร เขาควรมองไปที่แบรนด์แฟชั่นหรูหราที่เป็นเลิศ เพราะนี่เป็นธุรกิจที่ผู้นำในตลาดลูกค้าสุดยอดวีไอพีเรียนรู้ว่า จะเสริมแบรนด์อย่างไรให้ดูเอ็กซ์คลูซีฟจาก Hermès แบรนด์อสังหาริมทรัพย์ก็เพิ่มมูลค่าได้ แม้ว่าจะเรียนรู้จากกระเป๋า Birkin ก็ตาม (กระเป๋า Birkin เป็นชื่อกระเป๋าภายใต้แบรนด์ Hermès)
สำหรับแบรนด์ที่เป็นผู้นำ จงอย่ามองแค่คู่แข่งขัน เพราะถ้าคุณทำตามคู่แข่งขัน เราจะเป็นแค่ผู้ตามตลอดไป แต่จงจับตาและเรียนรู้แบรนด์อื่นๆ นอกวงการมากกว่า เพื่อเรียนรู้แล้วสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้วงการของคุณ แบบนี้แหละที่เรียกว่าผู้นำตลาดของแท้
จงมองหาพันธมิตรเพื่อสร้างโอกาสที่ยิ่งใหญ่กว่า
กรณีศึกษา:
Key Take Away: การแข่งขันแบบไร้ขอบเขต
Trend 2 ‘Survival’ Business Transformation
เอาตัวรอดจากการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ
Background: พฤติกรรมผู้บริโภคได้เปลี่ยนอย่างมากในปี 2020 ความไม่แน่นอนในอนาคต และมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม มีผลกระทบต่อหลายๆ ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่ต้องมีการพบหน้ากัน อาทิ ร้านอาหาร โรงแรม ท่องเที่ยว โรงภาพยนตร์ ที่เจอกับยอดขายที่ตกลง ในภาวะผันเปลี่ยนนี้ โมเดลธุรกิจที่เคยได้ผลในอดีตอาจจะไม่เวิร์กอีกต่อไป จึงส่งผลให้ธุรกิจหลายๆ เจ้าต้องปิดตัวไป เว้นแต่ธุรกิจที่รอดจากสถานการณ์นี้ได้ คือเจ้าที่ปรับโมเดลตัวเองและขยายจากตลาดเดิมของตัวเองได้
ถึงแม้ปีหน้าอาจจะมีวัคซีน เราไม่ทราบเลยว่าโลกต้องเผชิญกับภัยที่คาดไม่ถึงอีกเมื่อไร ดังนี้การเตรียมพร้อมคือทักษะการอยู่รอดที่แท้จริง
สิ่งที่ธุรกิจควรทำและกรณีศึกษา
การที่จะประสบความสำเร็จในยุคแห่งความไม่แน่นอนนั้นต้องมีการเตรียมโมเดลธุรกิจไว้ 2 โมเดล ที่ต้องฝังรากลงไปถึงแก่นขององค์กร เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดและส่งมอบคุณค่าให้แก่ลูกค้าได้
กรณีศึกษาที่ 1:
Food Passion (ผู้นำในด้านธุรกิจร้านอาหารที่เป็นเจ้าของ Bar-B-Q Plaza, Jum Zapp และ RedSun) ธุรกิจประสบความท้าทายจากมาตรการล็อกดาวน์ ส่งผลให้ต้องหยุดการให้บริการสาขาที่มีมากกว่าร้อยสาขาลง ทำให้รายได้หลักหายวับไปกับตา แต่ Food Passion ตอบโต้สถานการณ์ด้วยการปรับตัวอย่างรวดเร็ว เฝ้าติดตามสถานการณ์ตลอดเวลา เตรียมแผนรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์และพฤติกรรมผู้บริโภค กระบวนการเหล่านี้นำมาสู่การออกสินค้าและช่องทางการขายใหม่ๆ และบทเรียนสำหรับแผนธุรกิจในอนาคตทั้งระยะสั้นและระยะยาว
Key Activities ที่ช่วยให้ Food Passion สามารถฝ่าฝันวิกฤตที่ผ่านมา และประสบความสำเร็จ ที่แสดงให้เห็นผ่านรายรับที่เติบโตขึ้นมาเป็นสองเท่า สามารถแสดงได้เป็น 3 เฟสดังนี้
เฟส 1 การจะรอดในวิกฤตต้องมีกระแสเงินที่แข็งแกร่ง และช่องทางรายได้ที่หลากหลาย
เฟส 2 กระจายความเสี่ยงโดยมองให้ไกลกว่าธุรกิจที่ทำอยู่ในปัจจุบัน
เฟส 3 หาลูกค้าใหม่ๆ และรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้
บริการรูปแบบใหม่ที่ให้ลูกค้าได้ Subscribe เพียง 600 บาทแล้วรับสิทธิ์ E-Voucher ที่สามารถใช้ได้กับทุกร้านในเครือ และจะเพิ่มทีละเดือนจนถึงเดือนละ 1,000 บาท แต่มาพร้อมกับโปรโมชันที่คิดมาเพื่อลูกค้าโดยเฉพาะมากขึ้น บริการนี้เป็นตัวขับเคลื่อนให้ลูกค้ารักในแบรนด์มากขึ้น รวมถึงติดใจในสิทธิพิเศษ
กรณีศึกษาที่ 2:
การปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัลเพื่อมอบคุณค่าให้ลูกค้า เพื่อรับศึก 2 ช่องทาง ไม่ว่าจะออนไลน์หรือออฟไลน์
ช่วงโควิด-19 ก่อให้เกิดความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในการหาหมอทางไกลไม่ว่าจะทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ปัจจัยภายนอกจากความเสี่ยงที่จะมาติดเชื้อโควิด-19 จากการใช้บริการในโรงพยาบาล ปัจจัยภายในจากเคสผู้ป่วยบางรายต้องมีการดูแลอย่างต่อเนื่องและครบวงจร อาทิ เบาหวาน เหตุการณ์เหล่านี้กระตุ้นให้โรงพยาบาลต้องรีบสร้างโซลูชันการหาหมอทางไกล เพื่อสามารถให้บริการลูกค้าได้ จนทำให้เกิดการยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรม
ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลสมิติเวชได้ออกคลินิกจำลอง และแอปฯ สมิติเวชยังพัฒนาให้ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ได้รับการตรวจและฉีดวัคซีนเพียงแค่อยู่บ้าน ทำให้ช่องทางนี้มีอัตราการเติบโตสูงมากในช่วงที่ผ่านมา
Key Takeaway: เอาตัวรอดจากการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ
Trend 3 Re-inventing New Sales Channels
สร้างช่องทางการขายที่ไม่เคยทำมาก่อน
Background:
พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในช่วงล็อกดาวน์ ทำให้การช้อปปิ้งออนไลน์เข้าสู่จุดพีก บริษัทต่างๆ เข้ามากอบโกยโอกาสนี้ผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเว็บไซต์ของทางแบรนด์เอง โซเชียลมีเดีย หรือเว็บขายของออนไลน์ เหตุการณ์นี้เองบีบให้ร้านแบบดั้งเดิม และธุรกิจที่สร้างยอดขายผ่านทีมเซลต้องมีวิธีขายแบบใหม่ที่เหมาะสมกับปัจจุบัน และสร้างบทบาทใหม่ให้ร้านแบบออนไลน์
ร้านค้าแบบ Physical Store ยังมีบทบาทจำเป็นในยุคการขายแบบออนไลน์ การใช้คอนเซปต์ค้าปลีกสนุกสนานหรือสร้างประสบการณ์ที่ลึกซึ้ง สร้างสรรค์ ในการชักจูงให้ผู้บริโภคกลับมาที่ร้านอีกครั้ง ดังนั้นทุกช่องทางการขายมีจุดเด่นต่างกัน ธุรกิจต้องมีการรีดีไซน์ช่องทางการขาย และ Customer Journey เพื่อมอบประสบการณ์ให้สอดคล้องกับลูกค้าในปัจจุบัน
สิ่งที่ธุรกิจควรทำและกรณีศึกษา
การจะมาเป็นผู้นำตลาดที่สามารถมอบประสบการณ์ที่ยิ่งกว่าความหวังของผู้บริโภค แบรนด์ต้องยกระดับช่องทางการขายเพื่อจะรองรับช่องทางบูรณาการ หรือประสบการณ์ไร้รอยต่อระหว่างออฟไลน์และออนไลน์
Direct-to-customer (D2C)
คือการขายสินค้าโดยไม่ต้องอาศัยพ่อค้าคนกลาง กำลังเป็นเทรนด์ของแบรนด์ใหญ่ ตัวอย่างที่เห็นล่าสุดมาจากการเปิดตัวเว็บไซต์ snack.com, pantryshop.com โดยเป๊ปซี่โค เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถสั่งขนมแบรนด์โปรดของตัวเองบนออนไลน์ และส่งตรงมาถึงบ้านของผู้บริโภคเอง ความได้เปรียบของธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์การขายแบบนี้ คือลดช่องว่างระหว่างแบรนด์และผู้บริโภคเพื่อให้บริษัทแม่สามารถบริหารแบรนด์ของตัวเองได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะภาพลักษณ์ แผนการตลาด หรือกลยุทธ์การขาย กลยุทธ์นี้ได้มีการทำช่องทางการติดต่อระหว่างธุรกิจและผู้บริโภค และจากช่องทางนั้นเองที่แบรนด์สามารถตอบโต้และศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคในแต่ละกระบวนการการตัดสินใจซื้อ เพื่อนำมาซึ่งข้อมูลที่เป็น First Party Data เหล่านี้มาสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ตรงกับความชอบของผู้บริโภคด้วย
Social Commerce (โซเชียลเน็ตเวิร์ก + อีคอมเมิร์ซ) แบรนด์สามารถขายของผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดีย เพื่อใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มในการเข้าถึงผู้บริโภค และสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งอย่างลื่นไหล โดยที่ตัวผู้บริโภคสามารถเลือกหาสินค้าและซื้อได้ทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนแอปฯ ไปมาให้ขาดตอน แบรนด์ยังสามารถใช้โซเชียลมีเดียที่เป็นหนึ่งในช่องการขายในการทำคอนเทนต์การตลาดแบบปากต่อปาก ที่สามารถแพร่หลายได้อย่างรวดเร็วจากการแชร์ของลูกค้า
ยกตัวอย่างเช่น
Online-to-offline (O2O Commerce):
การผนวกกลยุทธ์ของช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไหลลื่น ผ่านแนวคิดว่าสองช่องทางนี้ไม่ได้แย่งลูกค้ากัน แต่มาเสริมแกร่งกันและกัน ยกตัวอย่างเทคนิค O2O เช่น การมารับของที่สั่งทางออนไลน์ที่หน้าร้าน และการที่ลูกค้าสั่งให้ส่งออนไลน์ระหว่างที่มาเลือกดูสินค้าในร้าน
ตัวอย่างเช่น เซ็นทรัลที่เป็นผู้นำด้านรีเทลในแง่ของการชนะใจไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ของลูกค้า ตั้งแต่ปรับแต่งประสบการณ์การช้อปปิ้งให้เข้ากับแต่ละบุคคล สร้างประสบการณ์ไร้รอยต่อของการช้อปปิ้งออนไลน์และออฟไลน์ ช่องทางการขายใหม่ๆ ของเซ็นทรัลที่สร้างยอดขายจนสามารถพลิกกับมาทำกำไรแม้กระทั่งในวิกฤตโควิด-19
Application – The one-stop shopping in a single app
แอปพลิเคชัน-ช้อปปิ้งจบในแอปฯ เดียว
Chat & Shop – On-demand shopping service via LINE
แชตและช้อป-ช้อปทันใจผ่านไลน์
Facebook Live – Real-time shopping via Facebook
ไลฟ์เฟซบุ๊ก – การช้อปปิ้งแบบเรียลไทม์ผ่านเฟซบุ๊ก
Call & Shop / Phone & Delivery – Fast delivery with one phone-call
สั่งและซื้อ / โทรแล้วส่ง – จัดส่งรวดเร็วแค่กริ๊งเดียว
Click & Collect – In-store pickup at most convenient location
คลิกแล้วรับของ – รับของในสาขาที่สะดวกที่สุด
Drive-thru – Convenient and safe delivery to car
ไดรฟ์-ทรู – สินค้ามาส่งถึงรถแบบชิลๆ
Key Take Away: สร้างช่องทางการขายที่ไม่เคยทำมาก่อน
Trend 4: ‘Human First’ Innovation
นวัตกรรมที่คิดถึงมนุษย์เป็นศูนย์กลาง
Background:
การก้าวกระโดดของนวัตกรรมตั้งแต่ไซด์ของชิปประมวลผล การเข้ามาของ Cloud Computing หรือ AI และ Machine Learning เป็นกลไกสำคัญ ทำให้มีสินค้าและบริการใหม่ๆ เกิดขึ้นมาแบบคาดไม่ถึง
แต่น่าเสียดายที่สินค้าและบริการจำนวนมากออกแบบมาจากวิสัยทัศน์ของผู้สร้างเป็นหลัก ซึ่งไม่ได้เข้าใจถึงแก่นของผู้บริโภคอย่างแท้จริง (เป้าหมาย ความต้องการ แรงจูงใจ พฤติกรรม) Consumer Insight เป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนการตัดสินใจของผู้บริโภค การขาดความเข้าใจส่วนนี้ทำให้ลูกค้าเห็นแค่นวัตกรรมใหม่ แต่ไม่ใช่นวัตกรรมตอบโจทย์ชีวิตได้จริง
สิ่งที่ธุรกิจควรทำและกรณีศึกษา
การจะมอบนวัตกรรมที่มีความหมายต่อผู้บริโภคได้จริงนั้น ต้องสามารถทำสองสิ่งต่อไปนี้ได้
กับดักของการสร้างนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ในองค์กร
การออกแบบที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง
ตัวอย่างเช่น มีโซลูชันการจัดการระบบคิวสำหรับธุรกิจค้าปลีก ที่ทำหน้าที่สแกนจำนวนลูกค้าที่ยืนรอคิว และแจ้งให้ผู้จัดการร้านมาเปิดช่อง Cashier Counter เพิ่มเมื่อแถวยาวเกินจำนวนที่กำหนดได้ ไอเดียนี้ดูดีมาก เพราะทุกธุรกิจต้องการสร้างบริการที่ดีที่สุดกับลูกค้า และลูกค้าที่มาช้อปปิ้งก็คงไม่มีใครอยากรอคิวนาน ฟังดูนวัตกรรมนี้น่าจะขายได้ดี
แต่เพื่อได้ค้นหาอินไซต์ลึกๆ พบว่ายังมีจุดบอดมากมาย ที่ทำให้ลูกค้าที่เป็น Retail Business ไม่สนใจใช้เทคโนโลยีใหม่นี้ เพราะเมื่อศึกษาเชิงลึกแล้วพบว่า ปัญหาของการรอคิวมาจาก 4 ปัจจัยด้วยกัน ดังภาพนี้
Key Take Away:
Trend 5 ‘The good guy’ Branded Business
แบรนด์ยุคใหม่ จริงใจและดีต่อโลก
Background:
ในยุคที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลอย่างมหาศาลและรวดเร็ว ธุรกิจต้องตระหนักถึงการกระทำที่จริงใจ และถูกต้องมีจริยธรรม เช่น นำข้อมูลของผู้บริโภคไปใช้โดยปราศจากคำยินยอม การใช้อินฟลูเอนเซอร์อย่างหนักหน่วงจนทำให้แบรนด์นั้นเสียความน่าเชื่อถือ และดูไม่จริงใจต่อผู้บริโภค
ปัญหาทางสังคมและสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นสิ่งที่ผู้คนตระหนักมากกว่าเมื่อก่อน และยังเป็นประเด็นที่อ่อนไหวอย่างมากในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคโควิด-19 ที่เป็นตัวจุดประกายค่านิยมเหล่านี้ ที่มีความเห็นอกเห็นใจ ใส่ใจ และเปิดกว้าง มากกว่าในอดีต
อย่างที่เห็นได้ในประเด็นที่ผ่านๆ มา เช่น ความเท่าเทียมทางเพศ ความหลากหลายทางเชื้อชาติ และประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม การที่ผู้บริโภคมีความจริงจังต่อค่านิยมเหล่านี้มากกว่าเมื่อก่อน จะส่งผลให้เมื่อเขาไม่เชื่อใจหรือแคลงใจในแบรนด์ต่างๆ
หากแบรนด์ที่ทำตัวไม่เหมาะสมจะเป็นเชื้อไฟนำไปสู่การเคลื่อนไหวของผู้บริโภคในการต่อต้านแบรนด์นั้น ซึ่งแบรนด์ต้องมีความละเอียดถี่ถ้วนในการรับมือ เพราะผู้บริโภคสามารถส่งผลลัพธ์ไปสู่การถูกบอยคอต และสูญเสียลูกค้าซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความอันตรายต่อแบรนด์เป็นอย่างมาก
สิ่งที่ธุรกิจควรทำพร้อมกรณีศึกษา
การจะก้าวมาเป็นแบรนด์ที่มีจุดยืนที่ชัดเจน ธุรกิจต้องสามารถรักษาสัญญาที่ให้ไว้ โดยสามารถแสดงออกและลงมือทำจริง ผ่านวิสัยทัศน์ ค่านิยม เป้าหมาย การสื่อสาร และกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร
เสริมแกร่งจุดยืนและค่านิยมของแบรนด์ด้วยการลงมือทำจริง
แบรนด์เงินติดล้อที่ทำธุรกิจ Micro Finance มีความตั้งใจอยากให้ลูกค้าหลุดพ้นจากความเป็นหนี้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเป็น Pain Point ของกลุ่มเป้าหมายมาก รวมถึงการให้บริการที่เป็นธรรมอย่างจับต้องได้ แบรนด์จึงมีการทำกิจกรรมหลายอย่างเพื่อสร้าง Brand Do ไม่ใช่แค่ Brand Say เช่น
การให้ความรู้ด้านการเงินและการปลดหนี้
การสร้างความเป็นธรรมในการให้บริการ
ปั้นแบรนด์ผ่านเรื่องราวที่น่าประทับใจ แบรนด์ต้องมีเรื่องราวที่ลึกซึ้งและน่าเชื่อถือ ที่สามารถทำให้เป็นจริงได้ จะช่วยปั้นให้แบรนด์มีมูลค่าสูงขึ้นและแข็งแกร่งกว่าเดิม
กรณีศึกษา เรื่องราวที่น่าสนใจของแบรนด์ Freitag มาจากการใช้วัสดุเหลือใช้ แบรนด์ Freitag มีที่มาจากพี่น้องชาวสวิสสองคน ที่ปรารถนาจะเปลี่ยนของเหลือให้เป็นสินค้าแฟชั่น กระเป๋าแฟชั่นของทางแบรนด์นั้นทำมาจากผ้าใบกันน้ำ เข็มขัดนิรภัยรถ ท่อจักรยาน ที่ใช้มาอย่างน้อยสามปี หากไม่ถึงสามปียังไม่ถือว่าเข้าเกณฑ์ เพราะแนวคิดนี้เองที่ทำให้แบรนด์ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะคนเจเนอเรชันมิลเลนเนียล
เคสตัวอย่าง แพลตฟอร์มที่มีชื่อว่า Freitag’s S.W.A.P เป็นแพลตฟอร์มช้อปปิ้ง โดยไม่ต้องจ่ายเงิน โดยการใช้ระบบจับคู่เหมือนทินเดอร์ที่ให้คนมีกระเป๋า Freitag ได้แลกกระเป๋ากันและกัน ระบบนี้ส่งเสริมให้ลดการสร้างขยะ และยังยืดอายุการใช้งานของกระเป๋า ซึ่งแนวคิดของระบบนี้ยังสอดคล้องกับแนวคิดหลักของตัวแบรนด์อีกด้วย
กิจกรรมฟื้นชีวิตให้แบรนด์ การสร้างแบรนด์ขึ้นใหม่ และยังคงรักษาไว้ซึ่งภาพลักษณ์ที่ดี เพื่อทำให้ลูกค้ายังรักและรู้สึกดีอยู่
กรณีศึกษา นันยางมีความคิดที่อยากจะเปลี่ยนสินค้าที่ทดแทนกันได้ ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างแบรนด์อย่างรองเท้าแตะ ไปเป็นสินค้าที่น่าหลงใหลและทันสมัย เห็นได้จากตัวอย่างดังต่อไปนี้
KHYA รองเท้าแตะที่ทำมาจากขยะจากท้องทะเล ตัวสินค้ามีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ผู้คนตระหนักถึงมลภาวะในท้องทะเล และประเทศไทยเองก็เป็นประเทศที่มีขยะในท้องทะเลเยอะเป็นอันดับ 6 ของโลก
ถุงไวนิลนันยาง กระเป๋า Freitag แบบฉบับคนไทยที่ทำมาจากไวนิลและวัสดุเหลือใช้ จากกระบวนการผลิตรองเท้า สินค้ามีจุดมุ่งหมายคือการสร้างมูลค่าจากวัสดุเหลือใช้
Key Take Away: