การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้นมีแนวคิดและทฤษฎีจากผู้เชี่ยวชาญมากมายหลายทฤษฎี หนึ่งในนั้นก็คือทฤษฎี 7S ที่สรุปรวมแนวทางการสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนเอาไว้ 7 ข้อด้วยกัน ถือเป็นแนวคิดสำคัญที่คนทำธุรกิจควรรู้ เพื่อทำให้ธุรกิจของเราเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต และด้วยเหตุที่การทำธุรกิจในปัจจุบันนั้นไม่ง่าย ผู้ประกอบการไม่ว่าจะทำธุรกิจบริการ ธุรกิจโลจิสติกส์ขนส่งและคลีงสินค้า ทำโรงงานผลิตสินค้า ทำธุรกิจอาหาร หรือทำธุรกิจค้าขาย ล้วนต้องมีการเรียนรู้และปรับตัวให้ทันตามสภาพตลาด เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นทฤษฎี 7S จึงถือเป็นตัวช่วยหนึ่งที่จะช่วยวิเคราะห์และวางแผนธุรกิจของเราได้อย่างรอบด้าน เพื่อทำให้ธุรกิจของเราเติบโตได้อย่างยั่งยืนค่ะ
ทฤษฎี 7S ไม่จำเป็นต้องใช้กับธุรกิจใหม่เท่านั้น แต่ธุรกิจที่ดำเนินการมานานแล้วก็สามารถนำแนวคิดนี้ไปใช้เพื่อปรับปรุงโครงสร้าง การทำงาน หรือกลยุทธ์การตลาดของธุรกิจได้เช่นกัน
จุดแข็งคือสิ่งที่ธุรกิจทุกประเภทต้องมี เพราะ “การมีจุดแข็ง คือ ความได้เปรียบที่ดีที่สุด” จุดแข็งของธุรกิจอาจอยู่ในรูปของการบริการ สินค้า หรือแม้แต่สิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างวัฒนธรรมภายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นอะไรหากเป็นสิ่งที่ทำให้เราอยู่เหนือคู่แข่งแล้วล่ะก็ มันก็คือจุดแข็งของธุรกิจนั่นเอง
จุดแข็งคือสิ่งที่ต้องมีการวัดผล ประเมิน และนำผลที่ได้มาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสำรวจจุดอ่อนที่อาจเกิดขึ้นควบคู่กันและพยายามกำจัดจุดอ่อนที่มีอยู่ให้หมดไปหรือลดลงให้มากที่สุด
2. Story (ตำนานและเรื่องราว)
ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญของการมีสตอรี่หรือเรื่องราวมากขึ้น แบรนด์ที่มีสตอรี่ มีการสร้างตัวตน จึงมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า ทำให้ Story กลายมาเป็นหนึ่งในแนวคิด 7S ที่สำคัญต่อธุรกิจของเรา
หลายคนใช้วิธีการนำ Profile มาร้อยเรียงต่อกันให้เป็น Story ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีเล่าเรื่องที่น่าสนใจที่สุด เปลี่ยนจากการเล่าเรื่องแบบเส้นตรงให้น่าติดตามมากขึ้น ช่วยสร้างแง่มุมที่น่าประทับใจ และในขณะเดียวกันก็ทำให้กลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าของแบรนด์เข้าใจประวัติ ความเป็นมา หรือวิสัยทัศน์ของแบรนด์ได้มากขึ้นด้วย จนบางครั้งการสร้างสตอรี่หรือเรื่องราวที่ดี ก็ทำให้มันกลายเป็นจุดแข็งของธุรกิจได้เช่นกัน
3. Style (เอกลักษณ์แบบเฉพาะตัว)
ธุรกิจที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า เพราะลำพังแล้วแค่ตำนานและเรื่องราว (Story) ยังไม่ใช่พลังที่แกร่งที่สุดของการทำธุรกิจ
คุณควรมองหาเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงความสามารถในการปรับเปลี่ยนให้เอกลักษณ์เล่านั้นสอดคล้องกับยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือการบริการ ธุรกิจที่สามารถเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใครเอาไว้แบบร่วมสมัยได้จะได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายมากกว่า
4. Service (การบริการคือหัวใจของธุรกิจ)
การบริการของธุรกิจยุคใหม่ต้องรวดเร็ว ทันใจ ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าได้ รวมถึงการให้บริการด้วยคำพูดที่ไพเราะ น้ำเสียงและท่าทางที่เหมาะสม สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวช่วยยกระดับการบริการให้กับธุรกิจของคุณค่ะ
5. Sincerity (ความจริงใจในธุรกิจ)
มีสุภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า “ถ้าเพื่อนนั่งพื้น เราก็ต้องนั่งพื้นคุยกับเพื่อน” หมายถึง เราต้องอยู่กันด้วยความจริงใจ อันจะทำให้การทำงานเดินหน้าได้สะดวกมากขึ้น
การทำธุรกิจด้วยความจริงใจคือการเอาใจใส่ลูกค้า การให้บริการอย่างตรงไปตรงมา ไม่ปิดบัง การตอบข้อสงสัยต่าง ๆ ด้วยข้อมูลจริง ไปจนถึงการไม่โฆษณาเกินจริงและการผลิตสินค้าที่ตรงตามกับสิ่งที่เราบอกกล่าวออกไป ไม่หมกเม็ด การกระทำเหล่านี้คือการแสดงออกถึงความจริงใจต่อลูกค้า เป็นสิ่งที่ทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนตามแนวทาง 7S
6. Sensitivity (ว่องไวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น)
ธุรกิจเป็นงานที่ไม่อาจหยุดหรืออยู่นิ่งได้ เพราะเทรนด์ของผู้บริโภคนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เจ้าของธุรกิจตามหลัก 7S จึงต้องมีความรู้สึกเร็ว รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง และปรับตัวได้ดีในทุกสถานการณ์ นอกจากนี้ยังต้องหมันหาความรู้และตามทันข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อปรับเปลี่ยนแผนการทำธุรกิจให้เหมาะสมกับเทรนด์ในปัจจุบันมากที่สุด
7. Sustainability (ตอบสนองความต้องการของสังคม)
ธุรกิจยุคใหม่ต้องไม่เดินหน้าทำกำไรให้บริษัทเพียงอย่างเดียว เพราะเราต้องให้ความสำคัญกับ “การคืนกำไรให้สังคมด้วย” เนื่องจากธุรกิจเองก็มีความสัมพันธ์กับชุมชนที่อยู่รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำ CSR การจัดกิจกรรมการกุศล การบริจาคสิ่งของ การสร้างห้องสมุด ฯลฯ วิธีการต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นการคืนกำไรแก่สังคมตามหลัก 7S ทั้งสิ้น
ธุรกิจที่ทำสิ่งดี ๆ เพื่อสังคมนอกจากจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแล้วยังเป็นตัวช่วยประชาสัมพันธ์องค์กรให้เราอีกทางหนึ่งด้วย นับว่ามีประโยชน์หลาย ๆ ด้านและคุ้มค่าที่จจะทำเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ
แนวคิดทฤษฎี 7S เป็นทฤษฎีที่ช่วยให้คนทำธุรกิจวางแผนงานหรือกลยุทธ์ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นและมีระบบระเบียบมากขึ้น ทำให้เราเห็นจุดอ่อนหรือสิ่งที่ขาดหายไปในธุรกิจของเรา ดังนั้นอย่าลืมนำทฤษฎี 7S ที่เรานำมาฝากในวันนี้ไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณกันนะคะ