5 หลักจิตวิทยาในการให้ส่วนลดเพื่อเนรมิตรยอดขายได้ดั่งใจฝัน

5 หลักจิตวิทยาในการให้ส่วนลดเพื่อเนรมิตรยอดขายได้ดั่งใจฝัน

     วันนี้จะมาพูดถึงเทคนิคการใช้กลยุทธ์ลดราคาเพื่อกระตุ้นยอดขายว่าแต่ละแบบเป็นอย่างไรทำไมใคร ๆ ก็ชอบใช้คูปองลดราคาและแบบไหนถึงปิดการขายได้ดีที่สุดซึ่งแน่นอนว่าทุกวันนี้เราจะเห็นว่ามีร้านค้าที่ใช้การลดราคาเกลื่อนไปหมด บ้างก็ทำเพื่อกระตุ้นยอดขาย บ้างก็ทำเพื่อโล้ะสินค้าเก่าให้หมดไป ซึ่งแน่นอนว่าอัตราส่วนการลดราคาแต่ละครั้งของร้านค้านั้น ๆ ไม่ได้ตั้งขึ้นมาลอย ๆ ตามใจของเจ้าของร้านค้า แต่ถูกตั้งมาจากหลักจิตวิทยาที่ใช้เพื่อโน้มน้าวผู้บริโภคให้สนใจและประทับใจในการเลือกซื้อสินค้านั้น ๆ ซึ่งแน่นอนว่าวันนี้กระผมจะขอพูดถึงเทคนิคจิตวิทยาที่ใช้ได้ผลจริงที่พ่อค้าแม่ค้าควรรู้ก่อนจะทำแคมเปญลดราคาสินค้าของร้านตัวเอง จะมีอะไรบ้าง มาดูกันเลยครับ

แต่ก่อนที่จะไปดูเทคนิคทางจิตวิทยาในการใช้สร้างแคมเปญลดราคานั้น เราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าทำไมคนถึงชอบเวลาสินค้าลดราคาและทำไมการลดราคาถือว่าเป็นหนึ่งในวิธีกระตุ้นยอดขายที่ได้ผลดีที่สุด

ปัจจัยที่ทำให้การลดราคานั้นได้ผลดีเกิดจากการที่ร้านค้าลดราคาแต่ละครั้งนั้นจะทำขึ้นภายใต้หลักการของความเร่งด่วนและยังมีเวลาจำกัดเพื่อทำให้ลูกค้ารับรู้ว่าต้องซื้อภายในเวลาที่กำหนดเท่านั้น ถ้าหากไม่ซื้อภายในเวลาที่กำหนดก็จะต้องซื้อในราคาเต็มหรือไม่ก็ไม่มีสินค้าให้ซื้ออีกต่อไปแล้วเพราะอาจจะขายหมดตั้งแต่ช่วงลดราคา ซึ่งประเด็นมันอยู่ตรงนี้แหละครับทุกคน เนื่องจากผู้คนมักจะกลัวการพลาดหรือเสียโอกาสอะไรดี ๆ ไปและมักจะคิดว่าถ้าไม่รีบซื้อตอนนี้จะต้องพลาดสินค้าราคาดี ๆ แน่ ๆ ซึ่งความคิดนี้แหละครับเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้การลดราคานั้นมักจะได้ผลในการใช้เพื่อกระตุ้นยอดขายและปิดการขาย ยิ่งไปกว่านั้นการคิดว่าตัวเองจะเสียโอกาสหากไม่ซื้อสินค้าในช่วงลดราคานั้นยังถือเป็นความเจ็บปวดอย่างหนึ่ง ซึ่งโดยธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนนั้นมักจะมองหาความพึงพอใจและพยายามหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดอยู่แล้วครับ

และจากที่กระผมได้เกริ่นไว้ข้างต้นแล้วว่าการลดราคานั้นมีหลากหลายวิธีมากที่พ่อค้าแม่ค้าสามารถทำได้เพื่อทำใช้ช่วยปิดการขายให้ง่ายและเร็วขึ้น เช่น โปรแบบซื้อ 3 แถม 1 ฟรีค่าขนส่ง ลดราคาเป็นราคาคงที่ และลดราคาเป็นเปอร์เซ็นต์หรือแม้กระทั่งการลดเพิ่มอีกขั้นนึงหลังจากที่ลดราคาไปแล้วก็ถือเป็นการลดราคาที่สามารถกระตุ้นยอดขาย อย่างไรก็ตามโปรโมชั่นการลดราคานั้นให้ผลลัพท์ที่แตกต่างกันเพราะบางโปรโมชั้นก็ให้ผลลัพท์ที่ดีกว่าอีกโปรโมชั่นนึง

โดยมีการอ้างอิงจากสถิติว่า

  • ลูกค้าส่วนมากชอบโปรโมชั่นลดราคากว่า 50% ของสินค้าประเภทเดียวกันและมีราคาป้ายเท่ากันของการซื้อชิ้นต่อไปมากกว่าลดราคา 33% จากราคาป้าย ทั้งๆ ที่ไห้ผลลัพท์ส่วนลดที่เท่ากัน
  • ลูกค้าชอบส่วดลด On-top 25% หลังจากลดครั้งแรกแล้ว 20% มากกว่าการลดราคาสินค้าทีเดียว 40% ทั้งๆ ที่ลดเงินที่ต้องจ่ายไปได้เท่ากัน
  • ลดราคา 10 บาทเท่ากัน แต่ราคาป้ายของสินค้าแตกต่างกันผู้คนจะคิดว่าการลดราคา 10 บาทสำหรับราคาสินค้า 50 บาท คุ้มค่ากว่าการลดราคา 10 บาทสำหรับราคาสินค้า 100 บาท เห็นไหมครับว่าถึงจะลดราคาสินค้า 10 บาท เท่ากันแต่ได้ผลลัพท์แตกต่างกัน เพราะฉนั้นถ้าหากเราลดราคาแค่หลักสิบก็ไม่ควรนำไปลดกับสินค้าที่มีราคาสูงจนเกินไปครับ

ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาของมนุษย์ล้วนๆ เลยครับ หากทุกคนเข้าใจจุดนี้แล้วก็คงจะพร้อมที่จะไปสู่การเรียนรู้เทคนิคเพื่อปรับใช้หรือพลิกแพลงใหก้เข้ากับสินค้าและโอกาสที่เหมาะสมในการให้ส่วนลดแก่ลูกค้านะครับ เอาละครับผมคิดว่าเพื่อนๆ คงอยากรู้ใจจะขาดแล้วว่าเทคนิคในการทำให้การลดราคาสามารถปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นมีอะไรบ้าง เรามาดูกันเลยครับ

  1. การใช้คำ – แน่นอนว่าการใช้คำที่ต่างกันก็ย่อมส่งผลที่แตกต่างกันทั้งๆ ที่ส่วนลดที่มอบให้กับลูกค้านั้นก้เท่ากัน ยกตัวอย่างเช่น การใช้คำว่า ได้ส่วนลด 50 บาทนั้นจะทำให้ลูกค้ามีความรู้สึกว่าได้รับส่วนลดถึง 50 บาท แต่ถ้าใช้คำว่า ประหยัดไปได้ 50 บาท ลูกค้าจะรู้สึกว่าลดการสูญเสียเงินถึง 50 บาท ซึ่งให้ความรู้สึกต่อลูกค้าที่แตกต่างกันทั้งๆ ที่ความจริงนั้นได้รับส่วนลด 50 เท่ากัน 
  2. ลข 9 นั้นเปรียบดั่งดาบสองคม – จะเห็นว่าร้านค้าส่วนใหญ่นั้นชอบตั้งราคาที่ลงท้ายด้วยเลข 9 ซึ่งมันไม่ได้ส่งผลให้ยอดขายพุ่งตามที่หวังเสมอไป เพราะว่า การตั้งราคาที่ลงท้ายด้วยเลข 9 นั้นเหมาะกับการตั้งราคากับสินค้าที่มีราคาไม่แพงมากไปจนถึงราคาต่ำ ในขณะเดียวกันการตั้งราคาสินค้าที่มีราคาสูงและมีความหรูหรานั้น เช่น สินค้าระดับ Hi-end หรือ Luxury goods การที่ตั้งราคาใก้ลงท้ายด้วยเลข 9 นั้น จะทำให้สินค้าเสียภาพลักษณ์ความหรูหราได้และทำให้ลูกค้าสนใจสินค้าชิ้นนั้นๆ น้อยลง
  3. ระยะเวลาในการให้ส่วนลด – ระยะเวลาก็ถือเป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบสำคัญที่สามารถทำให้การใช้ส่วนลดนั้นสามารถปิดการขายได้ดีขึ้น โดยที่การตั้งระยะเวลาในการให้ส่วนลดที่ดีนั้นไม่ควรนานเกินสองอาทิตย์ โดยเฉพาะร้านค้าที่ขายของผ่านช่องทางออนไลน์ด้วยแล้วการกำหนดระยะเวลาให้ส่วนลดนานจนเกินไปอาจส่งผลเสียในภายหลังได้
  4. ลดเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ – ฟังไม่ผิดหรอกครับ เราลดราคาเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ครับ แถมยังส่งผลให้เพิ่มยอดขายได้มากอีกด้วย เนื่องจากการที่เราจะเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้าเราจากที่นึงให้เค้าหันมาใช้สินค้าของเราแทนของเดิมที่ลูกค้าเราเคยใช้นั้นโปรโมชั้นที่น่าดึงดูดโดยเฉพาะการลดราคาสินค้านั้นก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการปิดการขายทีเดียวครับ
  5. ลดเพื่อตอบแทนลูกค้าเก่า – การให้ส่วนลดนั้นไม่ได้แค่ใช้ได้ดีกับแค่ดึงดูดลูกค้าใหม่เท่านั้น แต่ยังใช้ได้ดีกับลูกค้าเก่าหรือเรียกอีกแบบว่า “ลูกค้าชั้นดี” อีกด้วย เราอาจให้ส่วนลดกับลูกค้าคนสำคัญของเราเพื่อแสดงความขอบคุณต่อลูกค้าที่อุดหนุนเรามาโดยตลอด อีกทั้งวิธีการนี้ยังทำให้ลูกค้าของเรารู้สึกเป็นคนพิเศษสำหรับร้านค้าเราอีกด้วย เนื่องจากคนเราย่อมรู้สึกดีเมื่อรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญต่อผู้อื่นนั่นเองครับ

กระผมก็ได้เรียนรู้เทคนิคการให้ส่วนลดไปเต็มๆ แล้วนะครับ แต่ก็ใช่ว่าการให้ส่วนลดนั้นจะไม่มีข้อเสียเลยซะทีเดียวและเพื่อให้ทุกคนแตกฉานมากขึ้นในเรื่องการให้ส่วนลดเรามาดูว่าข้อเสียของมันว่าจะเป็นยังไงนะครับหากลดราคาบ่อยจนเกินไป การลดราคาบ่อยเกินความจำเป็นนั้นนอกจากจะไม่สามารถกระตุ้นยอดขายได้ดีเท่าที่ควรแล้วยังส่งผลเสียแก่พ่อค้าแม่ค้าอีก เนื่องจากจะทำให้คนไม่อยากจะซื้อสินค้าในราคาเต็มแต่จะรอให้ร้านปล่อยโปรโมชั้นลดราคาถึงจะซื้อ โดยเฉพาะกับร้านค้าที่ขายสินค้าราคาปกติที่ไม่สูงมากยิ่งจำเป็นต้องระวังในการให้ส่วนลดแก่ลูกค้าบ่อยเกินความจำเป็นเพราะอาจทำให้ผลลัพท์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังสำหรับการขายสินค้าในระยะยาว

ก็จบกันไปแล้วนะครับกับหลักจิตวิทยาเด็ดๆ ที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้าผู้น่ารักทุกคนควรรู้และควรลองนำไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองเพื่อเนรมิตยอดขายให้สูงขึ้นตามที่คาดหวัง แอละยังสามารถนำข้อมูลแบบนี้ไปบอกเล่าให้เพื่อนๆ พ่อค้าแม่ค้าของทุกๆ คนได้อีกด้วยเพื่อทำให้พวกเรานั้นเติบโตไปด้วยกันเพราะถ้าธุรกิจของเพื่อนๆ โต กระผมก็จะโตไปพร้อมๆ กับเพื่อนๆ ทุกคนด้วยครับ

ที่มา : https://blog.sellsuki.co.th

 527
ผู้เข้าชม
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์