หลังโควิด-19 จบลงโลกเราจะเปลี่ยนไปในรูปแบบไหนเป็นคำถามที่น่าคิด
โควิด-19 ได้เร่งปฏิกิริยาให้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วขึ้น ในหลายต่อหลายอย่างที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า อาจจะถูกย่นระยะลง จนเห็นภาพชัดขึ้นในอนาคตอันใกล้
ในงานสำรวจ Socio-economic trends that will strengthen and shape the future world โดยอิปซอสส์ นำเสนอเทรนด์อนาคตที่น่าสนใจ 7 เทรนด์ โดยเฉพาะเทรนด์เรื่อง “การจ้างงาน”
รายงานที่เรากล่าวมานี้ อิษณาติ วุฒิธนากุล ผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าองค์กร อิปซอสส์ (ประเทศไทย) สรุปให้เราฟังอย่างน่าสนใจ ดังนี้
1. Re shoring of Supply Chains: ย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ
ที่ผ่านมาบริษัทต่างสร้างโรงงานการผลิตในประเทศที่มีค่าแรงต่ำ อย่างเช่นจีน การเกิดโรคระบาดในรอบนี้ทำให้เห็นว่าการสร้างโรงงานที่จีนเพียงที่เดียว ซึ่งจีนได้ถูกตัดขาดจากโรคระบาดทำให้ซัปพลายของสินค้าถูกกระทบ บริษัทต่างๆ เริ่มมองว่าอาจจะต้องมีการย้ายการผลิตจากประเทศจีนไปยังประเทศอื่นๆ บ้างเพื่อกระจายความเสี่ยง
เพราะในวันนี้ฐานการผลิตในประเทศต่างๆ ต้นทุนการผลิตอาจจะไม่ต่างจากประเทศจีนมากนัก เนื่องจากเทคโนโลยีการผลิต อย่างเช่นระบบการผลิตในรูปแบบ Robotic ทำให้ต้นทุนด้านแรงงานคนลดลง
การย้ายกำลังการผลิตกลับประเทศตัวเอง อิษณาติ มองว่าอาจจะทำให้ประเทศที่เน้นการส่งออกเป็นหลักอย่างเช่นประเทศไทยได้รับผลกระทบพอสมควร
2. An Increasingly Distributed Workforce: พื้นที่สำนักงานถูกลดความสำคัญ
การเว้นระยะห่างทางสังคม ทำให้หลายบริษัทเห็นการปรับตัวของพนักงานที่สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ ถ้าบริษัทมีการลงทุนด้านเทคโนโลยีมากขึ้น
วัตถุประสงค์ของออฟฟิศจะเปลี่ยนไป จากสถานที่ทำงานที่ให้พนักงานเข้ามาทำงานร่วมกัน เป็นเพียงสถานที่เพื่อใช้ในการประชุม หรือเป็นสถานที่ที่รวมพนักงานเพื่อระดมสมองคิดงานร่วมกันมากกว่าพื้นที่ที่ให้คนมาทำงานร่วมกันทุกวัน
ก่อให้เกิดแนวคิดการเช่าพื้นที่ในระยะสั้น เช่น การเช่าในรูปแบบ Co-Working Space และคนเหล่านี้อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงราคาของพื้นที่ใจกลางเมือง หรือย่านธุรกิจที่มีราคาไม่เพิ่มสูงขึ้นเหมือนแต่ก่อน หรือมีความแตกต่างด้านราคาน้อยลงเมื่อเทียบกับพื้นที่นอกเมือง
3. Shift from Time-based to Task-based Compensation: จ่ายค่าจ้างตามจำนวนงาน และเปิดโอกาสรับงานบริษัทอื่น
พฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มชินกับการทำงานจากบ้านผ่านระบบออนไลน์ ที่มาพร้อมกับการพัฒนาระบบแปลภาษาที่มีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้นเรื่อยๆ
สองสิ่งนี้ทำให้เกิดเทรนด์การจ้างงานจากที่ไหน และทำงานจากที่ไหนก็ได้ โดยพนักงานไม่จำเป็นต้องไปประจำการในประเทศที่มีการจ้างงาน
เทรนด์นี้มีข้อดีและข้อเสียคือ
คนมีความศักยภาพ สามารถทำงานให้กับบริษัทต่างชาติที่สนใจได้ทั่วโลก โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ผ่านเทคโนโลยี การสื่อสาร และการใช้จ่ายบุคคลเหล่านี้จะเป็นการใช้จ่ายหมุนเวียนในประเทศทั้งหมด
แต่ข้อเสียคือคนที่ไม่มีศักยภาพจะถูกทิ้งห่างด้านโอกาสในการทำงานออกไป
นอกจากนี้ อนาคตการจ้างงานพนักงานอาจจะไม่ได้จ้างงานตามจำนวนเวลางานและจ่ายเป็นเงินเดือนเหมือนในปัจจุบัน แต่เปลี่ยนเป็นจ้างตามรูปแบบงาน ตามจำนวนงานที่ได้ทำ หรือเรียกว่าการจ้างงานรูปแบบ Task Based สิ่งเหล่านี้ทำให้ความมั่นคงทางการเงินของคนทำงานมีน้อยกว่าในอดีต
แต่ข้อดีของการจ้างงานในรูปแบบนี้คือ ในอดีตบริษัทอาจไม่อนุญาตให้พนักงานไปรับงานนอกกับบริษัทอื่นๆ การจ้างงานในรูปแบบนี้ทำให้พนักงานสามารถทำงานให้กับบริษัทอื่นๆ ที่ต้องการได้อีกหลายบริษัทพร้อมกัน
การจ้างงานในรูปแบบ Task Based จ้างตามจำนวนงานที่ได้ทำ ทำให้นายจ้างไม่ได้เลือกพนักงานเข้าทำงานตามตำแหน่ง แต่เลือกจ้างงานตามทักษะความสามารถของพนักงานแต่ละคน
4. Hollowing Out of Middle-level Jobs: พนักงานระดับ Middle-level Jobs อาจไม่มีความจำเป็น
การพัฒนาของเทคโนโลยีเข้ามาทดแทนการทำงานบางประเภทงานที่เป็นการทำงานแบบ Routine ที่ทำซ้ำๆ เดิมๆ ทุกวันได้
การเข้ามาทดแทนของเทคโนโลยีทำให้เกิดการลดความสำคัญของตำแหน่งงานที่เป็น Middle-level Jobs ที่ไม่ต้องใช้ทักษะการทำงานสูง และพนักงานในกลุ่มนี้มีโอกาสถูกลดค่าจ้าง หรือถูกเลิกจ้างได้ในที่สุด
ปรากฏการณ์นี้ทำให้คนที่พัฒนาความสามารถตัวเอง มีทางรอดต่อไปในอนาคต เช่น การพัฒนาความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และอื่นๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้เพื่อสร้างรายได้ใหม่ๆ นอกจากงานประจำ
5. Decline of Institutional Education: สถาบันการศึกษาอาจถูกลดความสำคัญ
รูปแบบการศึกษาในอดีตที่รับประกันเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา อาจไม่มีความจำเป็นเหมือนก่อน จากโลกการจ้างงานในอนาคตที่จ้างตามทักษะของแต่ละบุคคลมากกว่าการศึกษา
สิ่งเหล่านี้อาจทำให้รูปแบบการศึกษาเปลี่ยนไป มหาวิทยาลัยต่างๆ อาจจะต้องมีการปรับค่าเล่าเรียนหรือการสอนออนไลน์เพื่อลดค่าใช้จ่ายมากขึ้น
การสอนออนไลน์ มีข้อดีคือสามารถรับนักเรียนได้ทั่วโลก โดยสถานศึกษาจับมือกับพาร์ตเนอร์ทั่วโลกเพื่อใช้สถานที่เป็นแคมปัสของสถานศึกษาได้
6. Reshaping of Business Responsibilities: ปฏิรูปโครงสร้างความรับผิดชอบในสังคม
77% คนทั่วโลกมองว่าภาคธุรกิจเป็นภาคหนึ่งที่ควรมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบสังคมให้น่าอยู่ขึ้น
นอกจากนี้ คนทั่วโลกยังมองว่าถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล ผลประโยชน์จากรัฐบาล หรือให้รัฐบาลเข้ามาอุ้มธุรกิจ อย่างเช่นการบินไทย ต้องออกมาชี้แจงเพื่อความโปร่งใส และตรวจสอบได้ เช่น ชี้แจงเงินเดือนผู้บริหาร รายได้และค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างละเอียด
7. Reengineering of Social Safety Nets: ปรับสวัสดิการสังคม
จากการสำรวจของอิปซอสส์ พบว่าความกังวลของคนทั่วโลก 5 อันดับแรก ได้แก่
1. ความยากจน ความไม่เท่าเทียมกันในสังคม
2. การว่างงาน
3. อาชญากรรมและความรุนแรง
4. การเงินและการคอร์รัปชั่นทางการเมือง
5. สุขภาพ
จะเห็นได้ว่า 5 อันดับแรกจะเป็นการให้ความสำคัญในเรื่องของความยากจน เงินและรายได้เกือบทั้งหมด และในวันนี้ทำให้เราเห็นว่าอนาคตอาจจะไม่มีความแน่นอน การสำรองเงินในอนาคตให้กับลูกจ้างอาจเป็นสิ่งที่จำเป็นมากกว่าปัจจุบัน เช่น ภาครัฐบาลมีการปรับเพิ่มการเก็บเงินสำรองเลี้ยงชีพมากขึ้น การนำพนักงานฟรีแลนซ์เข้าสู่ระบบประกันสังคม เป็นต้น
ทั้งนี้ แม้โควิด-19 จะหมดลง แต่เทรนด์ที่กล่าวมาทั้งหมดอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน แต่เราจะได้เห็นในอนาคตไม่ช้าหรือเร็วอย่างแน่นอน
ที่มา : https://marketeeronline.co/